เคลือบสีแล้วดียังไง รวมข้อดีที่ไม่ควรมองข้าม
หลายคนที่ใช้รถเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์คงเคยสงสัยว่าทำไมต้องเคลือบสีรถ เคลือบไปแล้วจะมีความแตกต่างยังไง ช่วยในเรื่องอะไร คุ้มค่าหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่การซื้อความรู้สึกทางใจในการดูแลรถเท่านั้น
ปกติแล้วการเคลือบสีรถ คือ การเพิ่มความสวยงามให้กับรถ ทำให้พื้นผิวดูดี และมีความเงางามอยู่เสมอ ซึ่งถ้ามีเหตุผลเพียงความสวยงามอย่างเดียว คงไม่คุ้มในการลงทุนซื้อน้ำยาเคลือบสีหรือจ่ายค่าเคลือบสีเพิ่มให้กับรถแน่นอน
แต่เพราะปัจจุบันน้ำยาเคลือบสีมีนวัตกรรมต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับการดูแลรักษารถยนต์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแค่เพิ่มความเงางามเท่านั้น แต่มีการใช้สารเคลือบพร้อมส่วนผสมที่ใช้ในการเคลือบสีรถเพื่อการรักษาสภาพสีให้คงความสดใหม่อยู่เสมอ ดังนั้น การเคลือบสีรถ จึงไม่เป็นเพียงแค่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการดูแลรักษา พร้อมการปกป้องรถของคุณอยู่เสมอนั่นเอง
ประเภทของการเคลือบสีรถ
ด้วยนวัตกรรมที่ถูกพัฒนามากยิ่งขึ้น ทำให้การเคลือบสีมีหลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละแบบจะให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน ตั้งแต่ความเงางาม การไล่น้ำ การเกาะของฝุ่น และความคงทน
แต่หลักๆ เราจะแบ่งรูปแบบการเคลือบสีรถออกเป็น 3 ประเภทประเภทแว็กซ์ (Wax) การเคลือบแว็กซ์เป็นการนำน้ำยาแว็กซ์มาทาบนพื้นผิวรถเพื่อปกป้องและเพิ่มความสวยงามให้กับสีรถ น้ำยาแว็กซ์จะช่วยป้องกันจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และลดความเสียหายจากสิ่งต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นผิวรถได้ เช่น ความร้อนจากแสงแดด น้ำฝน เศษฝุ่น คราบแมลง มูลนก นอกเหนือจากคุณสมบัติการป้องกันแล้ว การเคลือบแว็กซ์ยังทำให้การล้างรถง่ายขึ้น สิ่งสกปรกจะไม่ติดแน่นกับพื้นผิวและไม่ทำให้เกิดรอยขีดข่วนขณะล้างออกซึ่งกลุ่มแว็กซ์ประเภทนี้จะประกอบไปด้วย
- Carnauba Wax (คาร์นูบาแว็กซ์) เป็นน้ำยาแว็กซ์ธรรมชาติที่สกัดมาจากใบของต้นไม้ที่ชื่อว่า "Copernicia prunifera" ซึ่งพบในประเทศบราซิล น้ำยาแว็กซ์ชนิดนี้เมื่อนำมาเคลือบสีรถจะให้ความเงางามสูง แต่ไม่ค่อยทนต่อสภาพอากาศร้อน มีลักษณะเป็นเนื้อครีม ด้วยความเป็นแว็กซ์จากธรรมชาติจะมีอายุการใช้งานต่อการลงเคลือบ 1 ครั้ง ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ ส่วนใหญ่นิยมนำไปลงเคลือบสีรถที่ต้องการแนว Show Car และต้องลงเคลือบบ่อยครั้งกว่าแว็กซ์ชนิดอื่น ๆ ครับ
- Synthetic Wax (แว็กซ์สังเคราะห์) แว็กซ์ชนิดนี้ถูกพัฒนาจากเคมีสังเคราะห์เพื่อให้มีความใกล้เคียงกับคาร์นูบาแว็กซ์ เสริมในเรื่องความคงทนเพิ่มขึ้น มีลักษณะเป็นเนื้อครีม แต่ให้ความเงาฉ่ำน้อยกว่าคาร์นูบาแว็กซ์ อีกทั้งออกแบบมาเพื่อการใช้งานง่าย มีอายุการใช้งานต่อการลงเคลือบ 1 ครั้ง ประมาณ 3 สัปดาห์
- Hybrid Wax (แว็กซ์ไฮบริด) แว็กซ์ชนิดนี้เป็นการคิดค้นพัฒนาต่อยอด โดยการผสมผสานระหว่างแว็กซ์คาร์นูบาและแว็กซ์สังเคราะห์ เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ดียิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องการป้องกันให้มีความทนต่อทุกสภาวะอากาศ มีการไล่น้ำ ความเงางามทั้งแบบเงาใสและเงาฉ่ำ สามารถประยุกต์ใช้กับรถได้ทุกเฉดสี แต่ยังทำให้มีการใช้งานไม่สะดวกเท่าที่ควร เพราะใช้เวลาเซทตัวหลังลงเคลือบและเช็ดออกค่อนข้างยาก
ประเภทกโพลิเมอร์ซีลแลนท์ (Sealant Wax) แว็กซ์ประเภทนี้จะมีทั้งแบบสเปรย์ฉีด แบบเนื้อครีม และแบบ Water Based เป็นการออกแบบที่ช่วยให้การลงเคลือบสีรถทำได้ง่ายขึ้น สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และให้ผลลัพท์หลังจากเคลือบไปแล้วชัดเจน พร้อมให้ความคงทนสูงต่อสภาวะอากาศและสิ่งสกปรกฝั่งลึกกว่าแว็กซ์ประเภทอื่นๆ มีอายุการใช้งานหลังเคลือบ 1 - 2 เดือน (บางตัวมีความคงทนสูงกว่า 1 ปีเลยทีเดียว) แต่จะไม่สามารถป้องกันในเรื่องรอยขีดข่วน เพียงแต่ลดการเสียดทานต่อรอยขีดข่วนโดยตรงเท่านั้น นอกจากนี้ยังช่วยกลบรอยขนแมวบนผิวรถได้บางๆ เหมาะกับคนที่ต้องการการปกป้องที่ยาวนาน ให้ความเงางามทั้งแบบเงาใสและแบบเงาฉ่ำ เป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มคนดูแลรถ เหมาะสำหรับการเคลือบสีรถที่ต้องใช้งานบ่อยและต้องการรักษาสีรถให้หม่อยู่เสมอ
ประเภทเคลือบแก้ว/เคลือบเซรามิก (Ceramic Coat) หลายคนคงเคยผ่านตากันมาบ้างกับการเคลือบสีประเภทนี้ แต่ยังมีหลายคนที่สงสัยว่าเคลือบแก้วกับเคลือบเซรามิกต่างกันยังไง จริงๆแล้วภาพรวมของทั้งสองอย่างนี้คือการเคลือบสีชนิดเดียวกันครับ เพียงแต่เป็นการตั้งชื่อให้แตกต่างเพื่อผลลัพท์ทางการตลาดเท่านั้น ส่วนรายละเอียดเชิงลึกเดี๋ยวผมจะเขียนให้อ่านกันในบทความถัดไปนะครับ การเคลือบสีประเภทนี้ถือเป็นเทคโนโลยีการเคลือบสีรถที่ดีที่สุด มีการปกป้องสิ่งสกปรกฝังลึกได้ดีมาก โดยเฉพาะคราบน้ำ คราบโคลน ยางมะตอย ไม่ให้เกาะฝังแน่นบนตัวรถ น้ำยาบางตัวมีคุณสมบัติป้องกันรอยขีดข่วนบางๆได้ และสามารถซ่อมแซมตัวเองได้เมื่อเกิดรอยบางๆ ส่วนรอยหนักยังไม่สามารถป้องกันได้นะครับ หลังเคลือบไปแล้วจะให้งานออกมาทั้งแบบเงาใสและเงาฉ่ำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำยาที่เลือกใช้ และช่วยป้องกันการกัดกร่อนที่ส่งผลต่อแล็คเกอร์เดิมที่มีมาจากโรงงานด้วยครับ ทำให้สีรถไม่บางลงจนเกินไป โดยมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 3-5 ปี แต่ก็แรกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงมากด้วยเช่นกัน พร้อมกับต้องมีการบำรุงรักษาชั้นเคลือบอยู่เป็นประจำทุก 3-6 เดือน/ครั้ง นอกจากนี้ไม่แนะนำให้ทำเองที่บ้าน เพราะอาจเกิดความเสียหายต่อพื้นผิวได้ เนื่องจากเป็นน้ำยาที่ต้องใช้ห้องควบคุมอุณหภูมิ มีการเตรียมพื้นผิว(ขัดสี) จึงจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการลงน้ำยาโดยเฉพาะรวมข้อดีของการเคลือบสีรถ หลังจากที่เรารู้จักการเคลือบสีแต่ละประเภทมาแล้ว จึงทำให้เห็นผลลัพท์ของการเคลือบสีประเภทต่างๆมากยิ่งขึ้น ว่าข้อดีมีอะไรบ้าง- ช่วยเสริมสร้างการป้องกันพื้นผิวจากสภาวะอากาศต่างๆ ทั้งความร้อนจากแสงแดด มลภาวะทางฝุ่น หรือน้ำฝนที่อาจก่อให้เกิดคราบน้ำได้ ต่อมาคือป้องกันคราบสกปรกฝังลึก ไม่ให้ยึดเกาะกับพื้นผิวรถโดยตรง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อชั้นสีหรือชั้นแล็คเกอร์เดิม ซึ่งการเคลือบสีรถช่วยทำให้การล้างทำความสะอาด ทำได้ง่ายขึ้น ลดการเกิดรอยในขณะล้าง
- ช่วยยืดอายุการใช้งานชั้นสีให้ดูดีอยู่เสมอ ในการเคลือบสีนั้นเป็นการสร้างชั้นฟิล์มให้ผิวรถ เปรียบเสมือนการทาครีมบำรุงผิวตัวเรา เพื่อคงสภาพของผิวแล็คเกอร์หรือชั้นสีเดิมไว้ให้ดูใหม่เสมอและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขัดสีหรือทำสีใหม่ในอนาคตได้ด้วยครับ
- เพิ่มความเงางาม โดดเด่นบนท้องถนน ยิ่งใช้น้ำยาเคลือบสีที่มีคุณภาพที่ให้ผลลัพท์ตรงตามคุณสมบัติ จะยิ่งทำให้รถของเราดูใหม่ตลอดเวลา โดดเด่นกว่ารถที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาครับ
ควรเคลือบสีตอนไหน และเคลือบบ่อยแค่ไหน
ในการเคลือบสีรถนั้น สิ่งที่ต้องคำนึงเป็นอยากแรกคือ “การใช้งานรถของเรา” ว่าเราใช้งานในลักษณะไหน เสี่ยงไปเจอกับอะไรบ้าง อย่างเช่นคนที่ใช้รถทุกวันไปทำงาน ต้องจอดตากแดดทั้งวัน มีฝุ่นเกาะตลอดเวลา เช่นนี้ก็ควรเลือกน้ำยาเคลือบสีที่เน้นการปกป้องเป็นหลัก พร้อมให้ความทนทานต่อสภาวะอากาศร้อนเป็นพิเศษ เพื่อปกป้องไม่ให้พื้นผิวรถโดนความร้อนโดยตรง พร้อมกับลดการเกาะตัวของฝุ่น
หรือในกรณีที่ต้องขับลุยฝนอยู่บ่อยๆ ก็ควรเลือกน้ำยาที่เน้นการไล่น้ำแบบแผ่นน้ำ (Sheeting) ไม่ทิ้งรอยเม็ดน้ำบนตัวรถ (น้ำยาเคลือบสี WIBWUB Phoenix) เพื่อป้องกันการเกิดคราบน้ำในภายหลัง ทำให้สะดวกในการเช็ดแห้ง
ส่วนใครที่เคลือบแก้ว เคลือบเซรามิกมาแล้ว ก็สามารถใช้น้ำเคลือบสีตัวอื่นๆ มาลงเป็น Top Coat เพื่อปกป้องชั้นเคลือบเซรามิกไม่ให้ถูกกัดกร่อนจากคราบสกปรกหรือสภาวะอากาศต่างๆ ได้เหมือนกันครับ (น้ำยาเคลือบสี WIBWUB Reflex)
สุดท้ายในการเคลือบสีบ่อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานของน้ำยาเคลือบสีชนิดนั้นๆ และการใช้งานของเราเป็นหลักครับ แต่ถ้าต้องการน้ำยาเคลือบสีที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย พร้อมความคงทนต่อสภาพอากาศเมืองไทยโดยเฉพาะ ที่ให้ความคงทนสูงสุดถึง 1 ปี สามารถลงเคลือบได้ทุกสภาพผิว แนะนำเป็นน้ำยา WIBWUB Graphene Sealant ที่ถูกวิจัยพัฒนาโดยคนไทยร่วมกับทีมเอ็มเทค ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ที่ทำออกมาเพื่อการใช้งานของคนไทยโดยเฉพาะ อีกทั้งยังสามารถทำเองได้ที่บ้าน พร้อมเพิ่มความหนาของพื้นผิวอีกด้วยครับ